เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาฝนแล้งมันก็เป็นภัยพิบัติ เวลาฝนตกมันก็เป็นภัยพิบัติ ปีนี้ข้าวยากหมากแพง ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร นี่พูดถึงชีวิตนะ ถ้าชีวิตของเรานี่ การดำรงชีวิตเวลาข้าวยากหมากแพง อุปสงค์ อุปทาน ของมันมีน้อย มันก็ต้องแพงเป็นธรรมดา

เมื่อก่อนคนเรามีน้อย สงครามเขาต้อนคนกัน เดี๋ยวนี้คนเกิดมหาศาลเลย เวลาคนเกิดขึ้นมหาศาลมีแต่ปิดกั้น การค้ามนุษย์เห็นไหม เราย้ายถิ่นกัน ย้ายถิ่นเพื่อสิ่งใด ย้ายถิ่นเพื่อหาความดำรงชีวิตที่มันมั่นคงกว่า นี่การดำรงชีวิตที่มั่นคงกว่า เรามองแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นความจริงอย่างนั้นจริงๆ นะ

แต่ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรานะ ผู้ที่เป็นรัฐบุรุษเขามองการณ์ไกล เขาเป็นผู้นำ เขาพยายามเสียสละเป็นตัวอย่าง ถ้าหัวหน้าไม่เป็นตัวอย่าง นี่ใครจะเอาอะไรเป็นแบบอย่าง การเป็นแบบอย่างของคน ดูสิ อย่างพ่อแม่ ถ้าในครอบครัวของเรานี่ เราจะให้ลูกเราได้กินได้อยู่ได้อิ่มหนำสำราญ เราจะกินสิ่งเหลือทิ้งจากลูกก็ได้ มันมีความสุข เห็นไหม

แต่เรามองกันในทางโลก ต้องอุดมสมบูรณ์ในปัจจัยเครื่องอาศัย นั่นเราแข่งขันกันด้วยวัตถุ แต่ถ้าหัวใจล่ะ พ่อแม่นะ ลูกนี่ ให้ได้กินก่อน ลูกนี้ให้อิ่มหนำสำราญก่อน เหลือเศษอาหารพ่อแม่ก็กินได้ พ่อแม่มีความสุขใจ เพราะลูกเราได้มีอยู่มีกินนะ ถ้าลูกเราไม่มีอยู่ไม่มีกิน เราลำบากใจ เราทุกข์ใจ เราจะมีความอิ่มหนำสำราญนี่ เราก็ไม่สบายใจหรอก

ผู้ที่มีหัวใจที่เป็นผู้ที่เสียสละเห็นไหม นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารักษาเห็นไหม นี่แผ่นดินธรรม ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมานะ หัวใจเราเป็นธรรมนี่ เรามองไปสังคมสิ เราสังเวชไหม... เราสังเวชทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเราช่วยเหลือเจือจานเขาได้ไหม มันเป็น ๒ อย่างนะ

อย่างหนึ่ง คือ เราสามารถช่วยเหลือเจือจาน ถ้าเขามีปัญญาของเขาได้

อย่างหนึ่ง เราไปช่วยเหลือเจือจานเขา เขาไม่รับฟังนะ เขาเคยชินอย่างนั้น

นี่วิวัฒนาการ พัฒนาการของคน ของจิตแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จิตใจของคนมันแตกต่างหลากหลาย ความแตกต่างหลากหลายเพราะอะไร เพราะเวรเพราะกรรม นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำของเขามานะ

ในสมัยพุทธกาลนะ จูฬปันถก มหาปันถก จูฬปันถกเป็นน้องของมหาปันถก มหาปันถกเป็นพี่ชาย พี่ชายนี่เป็นพระอรหันต์นะ เป็นผู้ที่กิจนิมนต์ ใครนิมนต์นี่จะให้พระไปกิจนิมนต์ มีพระก็มานิมนต์พระทั้งหมดเลย พระมหาปันถก ไม่ให้น้องชายของตัวไป บอกว่าโง่เขลา

นี่โง่เขลาเพราะอะไร เพราะบอกไว้นะ พี่ชายเป็นพระอรหันต์ พระมหาปันถกเป็นพระอรหันต์นะ เพราะชีวิตรันทดมาก เพราะแม่หนีตามเขาไป พอแม่หนีตามเขาไป เสร็จแล้วนี่ แม่เห็นความทุกข์ลำบาก ก็เอาลูกมาคืนตา ตาบอกรับลูกไว้แต่ไม่รับแม่ไว้ ยังมีความเสียใจ ไม่ยอมรับแม่ไว้ ลูกก็อยู่กับตา พอตาไปไหนนี่ พูดถึงหลาน จะพูดอย่างไรมันก็เก้อๆ เขินๆ

พอหลานโตขึ้นมา พอรู้ความเป็นจริง ก็ขอตาไปบวช พอบวชแล้วตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วไปคิดถึงน้อง น้องเป็นจูฬปันถก เอาน้องมาบวชด้วย เพราะตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ สอนอย่างไรๆ น้องก็ไม่เข้าใจ สอนอย่างไรๆ น้องก็ไม่เข้าใจ พี่ชายเป็นพระอรหันต์นะ พอพี่ชายเป็นพระอรหันต์เห็นไหม นี่สิ่งนี้ถึงบอกว่าให้ไปสึกซะ... สึกซะ... เสียใจไง ไล่ให้น้องไปสึกเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มายืนอยู่ปากประตูทางออกวัดนะ

“จูฬปันถก... เธอจะไปไหน”

“พี่ชายให้ไปสึก จะไปสึกแล้ว”

“เธอบวชเพื่อใคร...?”

“บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“เธอไม่ต้องไปสึกนะ มานี่! มานี่! ตั้งสติให้ดี แล้วลูบผ้าขาว ว่าขาวหนอ... ขาวหนอ...”

พอลูบผ้าขาวไปนี่ มือดำสกปรก ลูบไปอย่างนั้นนะ ลูบไปทั้งวันทั้งคืน มันก็สกปรก นี่มันไปตรงกับจริตนิสัยที่สร้างมา พอตรงกับจริตนิสัยที่สร้างมานี่ มันสลดสังเวชไง สังเวชในผ้าขาวๆ เห็นไหม ผ้าของมันขาวอยู่แล้วมือเราไปลูบๆ มันดำขึ้นมานี่ มันสังเวช พอสังเวชนี่ มันไปตรงกับจริตนิสัย สำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย มีฤทธิ์มีเดชมหาศาล

แต่เวลามหาปันถกสอนน้องว่า สอนให้ท่องคาถา ให้ท่องอะไรมันก็ทำไม่ได้... ให้ท่องอะไรมันก็ทำไม่ได้... นี่ผลของจริตนิสัยเห็นไหม คนมันแตกต่างหลากหลาย มันแตกต่างกัน สร้างมาแตกต่างกันไป

นี่แล้วเวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ทำไมเป็นอย่างนั้น เวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มีเดชเลย แต่เวลาพี่ชายสอน ทำไมปัญญาแค่นี้รู้ไม่ได้ ทำไมวุฒิของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ล่ะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ชาติหนึ่งเคยเป็นพระ เคยบวชพระมา แล้วเป็นผู้ที่ฉลาดมาก เวลาคนเขาสวดปาฏิโมกข์ เขาท่องปาฏิโมกข์ ท่องผิดท่องถูก เขามีปัญญามากอ่ะ ไปหัวเราะเยาะจนพระองค์นั้นอาย เก้อเขิน ไม่กล้าท่องปาฏิโมกข์ กรรมอันนั้นทำให้ปัญญาทึบ

แต่ไอ้ลูบผ้าขาวๆ นะ ชาติหนึ่งเคยเป็นกษัตริย์ เวลากษัตริย์ตรวจพลสนามเห็นไหม เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้า มันเลอะฝุ่น พอเลอะฝุ่นแล้วมันสลดสังเวช มันฝังใจมา นี่จริตนิสัยของคนมันแตกต่างหลากหลายเห็นไหม

ฉะนั้นที่เรามองสังคม ดูคนสิ คนมันแตกต่างหลากหลาย คนที่ช่วยเหลือเจือจานได้ ที่เราคุยกันได้ เราพูดได้ มันเป็นประโยชน์กับสังคมได้ อันนั้นก็เป็นประโยชน์

แต่ถ้าคนมันดื้อ มันไม่ฟัง อย่างไรมันก็ไม่ฟัง พูดอะไรก็ไม่ฟัง นี่เป็นปัญหาสังคม เป็นปัญหาของโลกนะ แต่ถ้าปัญหาของเราล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ก่อนไง “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตน! ถ้าเอาตนของตัวเองไม่ได้เห็นไหม เราจะเข้าใจเรื่องภาวะของจิตใจ มันจะเข้าใจเรื่องภาวะของจริตนิสัยของคน เห็นไหม

เราจะแนะนำเขา ดูสิ เวลาอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านพูดนะ “หมู่คณะอย่ามองกันนะ” เพราะพวกเราน่ะวุฒิภาวะมันเสมอกัน มันจะมองเห็นแต่ความบกพร่องของคน หลวงตาท่านเคยคุยกับพระ เราอยู่ที่นั่น

“หมู่คณะอย่ามองกัน อย่าจับผิดกัน ให้มองเราเป็นตัวอย่าง” ให้มองหลวงตาเป็นตัวอย่าง ให้มองท่าน ให้ยึดท่านเป็นแบบอย่าง เพราะท่านเป็นแบบอย่างของเรา เราอย่ามองกัน ถ้ามองกันน่ะมันมองแต่ความบกพร่อง ให้ยึดท่านเป็นแบบอย่างเห็นไหม ท่านมั่นใจว่าท่านทำถูกต้อง เวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านเทศน์กับพระนะ ท่านบอกว่า “ถ้าทำสิ่งใดไม่ให้ผิดเลยนี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมทำอะไรก็ยังมีผิดอยู่บ้าง แต่จะพยายามทำให้มันผิดน้อยที่สุด”

เพราะสาวก สาวกะนะ “มันละกิเลสได้ แต่มันละจริตนิสัยไม่ได้” นิสัย ความเคยชิน อันนั้นมันละไม่ได้ “ผมไม่ได้ทำความถูกต้องหมดหรอก ผมทำนี่มันก็มีผิดบ้าง” เพราะอะไร เพราะมันเป็นจริตนิสัย เราไม่สามารถจะให้ถูกเปี๊ยะตามพระไตรปิฎก ๑๐๐ % ท่านบอก เป็นไปไม่ได้หรอก! ท่านพูดเองว่า “มันเป็นไปไม่ได้!”

แต่เรามันไม่มีเจตนาไง เราจะพยายามทำอะไรที่มันบกพร่องน้อยที่สุด เราพยายามตั้งสติของเรา เราจะทำให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะเราเองมันก็มีความผิดพลาดได้ นี่พูดถึงว่า ท่านบอกให้เอาท่านเป็นตัวอย่าง เราก็ต้องยึดเป็นตัวอย่างนั้นมันถึงจะถูกไปหมดเห็นไหม

นี่พูดถึงถ้าจะให้ถูกไปหมดแล้วไม่มีผิดเลย ต้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละกิเลสด้วย ละจริตนิสัยด้วย เวลานอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยนอนตามสบาย นอนสีหไสยาสน์ นอนอย่างนั้นตลอดเวลา เห็นไหม เป็นชีวิตแบบอย่าง

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนี่ ท่านก็มีอำนาจวาสนาบารมีสอนเราได้ เห็นไหม “หมู่คณะอย่ามองกัน ให้มองท่านเป็นตัวอย่าง” ถ้าเราไม่มีจุดยืนแล้วเรายึดสิ่งใดไม่ได้เลย

แต่ถ้าเรามองด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรามองด้วยการจับผิดนะ เราก็เอาพระไตรปิฎกมากางเลย แล้วบอกว่า ผิด! ผิด! ผิด! เห็นไหม อันนี้มันมองแบบจับผิด มองแบบกิเลส มองแบบไม่มีสามัญสำนึก

แต่ถ้าเรามองแบบธรรมเห็นไหม สิ่งใดที่เราทำแล้วมันขัดแย้งเรา สิ่งใดที่เราทำแล้วเราฝืนทนไม่ได้ แต่ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทนได้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านเป็นไปได้เห็นไหม สิ่งที่เป็นไปได้...

สิ่งที่เป็นโลก โลกเขาหามาเพื่อเจือจานกัน แต่ถ้าเรื่องความสิทธิเสมอภาคของใจเห็นไหม เวลาสิ่งที่มันขาดแคลน อุปสงค์ อุปทาน ของมันมีน้อยมันก็มีราคา แต่หัวใจความรู้สึกของเรานั้นมีค่าเท่ากัน หัวใจของความรู้สึกของคนที่เกิดมา เห็นไหม ทุกดวงใจมีดวงใจเหมือนกัน

จากมืดก็สว่าง.. จากมืดทำให้มันสว่าง เห็นไหม จากขาวทำให้เป็นดำ จากจิตที่เป็นอวิชชา จากจิตที่เป็นทุกข์นี่ เราสามารถทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ทุกๆ คน “เราสามารถทำได้ทุกคน” มันไม่ใช่อุปสงค์ อุปทาน ทางธุรกิจ ทางการค้านะ มันเป็นสิทธิที่เสรีภาพ สิทธิที่มีอยู่ในหัวใจของเรา

ถ้าสิทธิที่มีอยู่ในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่ธรรม เราเอามาที่นี่ แล้วถ้าเราเข้ามาที่นี่ได้เห็นไหม เรามีจุดยืนของเราได้ ถ้าเรามีจุดยืนของเราได้ เราอยู่กับโลกได้นะ เราเข้าใจโลกได้ เพราะว่าอะไร เพราะเขามืดบอด เขามีสิ่งใดปกคลุมเขา มันสลดสังเวช สลดสังเวชเพราะเขาไม่รู้ของเรา เหมือนคนป่วยไข้ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองป่วยไข้

ไอ้เราเป็นคนที่หายจากป่วยไข้ เราสงสารเขาไหม เขาป่วยไข้ แต่เขาไม่ยอมรับความป่วยไข้ เขาบอกว่าเขาไม่ป่วยไข้ นี่ก็เหมือนกัน เพราะจิตใจเขาไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับนี่ เขาก็ใช้ชีวิตของเขา ด้วยทำให้ความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นหนักหนาสาหัสไปข้างหน้า

แต่ถ้าเขายอมรับว่าป่วยไข้ เขาจะมีการแก้ไขของเขา นี่ก็เหมือนนัก การป่วยไข้มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากร่างกายนั้น นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตของเรา จิตของเรามีทุกคนเห็นไหม

วัตถุเห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยถ้ามันมีน้อย มันก็มีราคา ถ้ามันมีมากราคามันก็ตก “ราคา” เห็นไหม เพราะมันมีมากเกินไป จนไม่มีราคา เพราะมันมีเฟ้อเกินไป แต่ความรู้สึกของคนมันมีเท่าเรานี่แหละ มันมีกับเรา มันมีสิทธิของเราเห็นไหม เราทำของเราได้ เราตั้งสติของเราได้ เราใช้ปัญญาของเราได้ เราใช้สติปัญญาของเรา เพื่อดำรงชีวิตของเรา ให้ชีวิตของเรามันแจ่มชัดขึ้นมา

ถ้าเรามีสติขึ้นมา ชีวิตของเราเห็นไหม ทุกอย่างมันเพียงพอ ทุกอย่างมันพออยู่แล้ว ทุกอย่างมันอาศัยได้ แล้วชีวิตของเรามันจะมีคุณค่าแค่ไหน เราดูหัวใจของเรา สิ่งนี้มีคุณค่านะ

สมบัติพัสถาน ถ้าหัวใจเป็นธรรม มันจะมีประโยชน์มหาศาล สมบัติพัสถาน ถ้าหัวใจมันเป็นกิเลสตัณหาทะยานอยาก มันเป็นภาระนะ มันเป็นทุกข์กับเรามหาศาลเลย แต่เราก็ต้องแสวงหา ... เพราะเราอยู่กับโลก มันเป็นปัจจัย มันเป็นเครื่องใช้ในโลก มันเป็นเครื่องใช้ให้ดำรงชีวิตกันไป

แต่หัวใจของเรามันต้องการสติ มันต้องการปัญญา ใครจะบอกเรา เตือนเราขนาดไหน สำหรับเราสำนึก ถ้าเราสำนึกเห็นไหม เวลานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตมีสติขึ้นมา มีความสงบเข้ามา โอ้โฮ.. มันเป็นสำนึกของเรา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความรู้ของเรา มันเป็นความสุขของเรา มันเป็นสิ่งที่มันอยู่กับเรา หัวใจมันพัฒนาเข้ามาอย่างนี้ นี่ธรรม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สอนให้ดวงใจทุกดวงใจมีความสุขความสงบ มีความร่มเย็นในหัวใจ” ถ้ามีความร่มเย็นในหัวใจนะ การดำรงชีวิตในทางโลกนี่ มันมีความสุขไปหมด คนสร้างมา ดูสิ.. พระโพธิสัตว์เป็นหัวหน้า ก็เป็นหัวหน้าวันยังค่ำ เป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ ทั้งๆ ที่เป็นโลก ก็เป็นหัวหน้า

จิตใจถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา ถ้าเป็นหัวหน้า เห็นไหม เขาก็หวังพึ่ง กลิ่นของศีล...หอมทวนลม กลิ่นของศีลของธรรม คนดีหอมทวนลม เขาต้องการให้คนดีเป็นหัวหน้า เขาต้องการให้คนดีเป็นผู้นำ ทีนี้สังคมโลก มันดีจอมปลอม มันดีโดยการสร้างภาพ มันไม่ดีจริง มันเลยทุกข์ยากกันอย่างนั้น

ถ้าเราดีของเราจริง เราอยู่ของเราได้ ถ้าเรามีอำนาจวาสนาบารมี มันเป็นไป ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาบารมี เราก็ร่มเย็นเป็นสุขของเราในหัวใจของเรา เรารักษาเราเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม นี่ธรรม! โลกเป็นอย่างนี้ มันเป็นของมันโดยวาระของมัน มันเปลี่ยนแปลงของมันอย่างนั้น มีขาขึ้นขาลงเป็นธรรมชาติของมัน

ในชีวิตของเรา ตั้งแต่ชีวิตหนึ่ง เราก็เห็นแต่ความเจริญรุ่งเรืองและความยุบยอบออกไปของสังคม เราเห็นมาตลอดนะ แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป โลกเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปมันจะเป็นรุนแรง เพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญ เทคโนโลยีมันเจริญมาก มันเป็นไปได้เร็วมาก

ดูสิ สมัยโบราณ ความรุ่งเรือง ความเจริญต่างๆ มันเป็นยุคเป็นคราว เป็นอำนาจวาสนาของคน ดูสิ..จักรพรรดิ คือรวบรวมแว่นแคว้นขึ้นมาเป็นประเทศชาติ สมัยก่อนเป็นแว่นเป็นแคว้น เป็นรัฐเล็กๆ แล้วใครมีอำนาจเป็นจักรพรรดิก็รวบรวมขึ้นมา มีขุนพลแก้ว ขุนนางแก้ว ขุนคลังแก้ว มันมีพร้อมไปหมดนะ

ความพร้อม ที่มีบุคลากรพร้อม มันก็มีอำนาจ ถ้าบุคลากรมันไม่พร้อม มีผู้เดียว คนเดียวเป็นผู้นำอยู่คนเดียว รับผิดชอบอยู่คนเดียว เห็นไหม นี่จักรพรรดิ จักรพรรดิเกิดจากอะไร เกิดจากการสร้างสม การได้ทำบุญกุศลมา นี่สิ่งนี้มันเป็นมา เราก็จะสร้างสมของเราไป แต่จะเวียนตายเวียนเกิด ก็เวียนตายเวียนเกิดโดยความพออยู่พอเป็นไปของเรา สิ่งนี้รักษาดวงใจของเราให้มีธรรมในหัวใจ

โลกเขามีของเขา ปัจจัยเครื่องอาศัยต้องมี พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาบวช บริขาร ๘ นั่นแหละปัจจัย ๔ เห็นไหม พระยังต้องมี เพราะชีวิตเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งที่มีคุณค่า ดูพ่อแม่กับลูกสิ พ่อแม่นี่รักลูกเห็นไหม น้ำใจนี่มีคุณค่ามาก ลูกจะต้องการสิ่งใดก็ได้ แล้วถ้าลูกได้สิ่งที่สมความปรารถนา พ่อแม่ก็สบายใจแล้ว พ่อแม่ก็มีความสุขแล้ว ความสุขของพ่อแม่คือลูกเราประสบความสำเร็จเท่านั้นเอง พ่อแม่มีความสุขเห็นไหม ดูสิ.. ความสุขของใจ

แต่ถ้ามันเป็นวัตถุข้างนอก เป็นสังคม มันมีการแข่งขันกัน นี่ไง มันก็ต้องแข่งขันกันไปด้วยความปากกัดตีนถีบ เราเข้ามา คำว่าพ่อแม่ หมายถึงค่าของน้ำใจ เวลาเรามีคุณธรรมในหัวใจ เราเห็นสัตว์โลก เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

มันก็เหมือนพ่อแม่มองเขา มันมองด้วยความเมตตา เราจะมั่งมีศรีสุข จะมีทุกข์จนเข็ญใจ แต่หัวใจเราใหญ่โต หัวใจเราเป็นสาธารณะ แม้แต่ราชสีห์ หนูมันยังช่วยราชสีห์ได้ คนทุกข์คนจน เรามีปัญญา เราแก้ไขวิกฤตในสังคมได้หมดนะ ไอ้เรื่องนี้เป็นเรื่องภายนอก

เรื่องภายในศีลธรรมเป็นที่อาศัยของใจ เป็นความปรารถนาของหัวใจ ถ้าหัวใจมีอยู่แล้ว เราจะอยู่ในโลกนี่ อุปสงค์ อุปทานนะ ข้าวยากหมากแพง จะมีความวิกฤตกันไปข้างหน้า เราจะต้องตั้งสติของเรา แล้วดูโลก แล้วดูเรา เพื่อเรานะ เอวัง